หากคิดว่า การตัดสินใจจับจ่ายใช้สอย การซื้อสินค้าและบริการอย่างใด อย่างหนึ่งของผู้บริโภคนั้น เป็นเรื่องของความเหมาะสม ความสมเหตุสมผล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความจำเป็นหรือราคาก็คงไม่ผิดนัก แต่รู้ไหมว่ามีอีก 1 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกซื้อสินค้าและบริการเช่นกัน ปัจจัยนั้นก็คือ อารมณ์และความรู้สึก ของผู้บริโภคนั้นเอง ทำให้ปัจจุบัน สื่อและนักการตลาดผันตัวมาจับเรื่องนี้มากขึ้น โดยใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า Emotional Marketing หรือการตลาดเชิงอารมณ์และพีสจะพาทุก ๆ คนมารู้จักและเข้าใจใน Emotional Marketing ว่าคืออะไร ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจและกระตุ้นยอดขายได้อย่างไร
Emotional Marketing คือ กลยุทธ์ทางการตลาดในรูปแบบหนึ่งที่ใช้ Content Marketing เข้าไปสร้างอารมณ์และความรู้สึกของผู้บริโภค ทำให้พวกเขาเห็นว่าสินค้าและบริการนั้นๆ ให้ผลลัพธ์ที่มากกว่าผลลัพธ์ทั่วไป รวมถึงกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดอารมณ์ร่วมและเชื่อมโยงเรื่องราวที่ทางแบรนด์ได้นำเสนอเข้ากับเรื่องราวของตนเอง และนั่นจะมีส่วนช่วยให้เกิดการสนับสนุนสินค้าหรือบริการของแบรนด์นั้นๆ ได้แทบจะทันที เรียกได้ว่าเป็นการทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกด้วยหัวใจและความรู้สึก โดยไม่ใช้สมองและหลักเหตุผลนำเลยทีเดียว
เอาจริงๆ มนุษย์เราถูกสร้างให้มีอารมณ์มากถึง 30 อารมณ์ โดยอ้างอิงจากวงล้ออารมณ์พื้นฐานของ Paul Ekman แต่ในด้านการตลาด จะสรุปออกมาแค่ 4 อารมณ์ ใหญ่ๆ นั้นได้แก่ ความสุข(Happiness) ความโกรธ(Angry) ความกลัว(Fear) และความเศร้า(Sadness)
1. ความสุข (Happiness)
เมื่อ Content ต่างๆ นั้นสามารถทำให้เกิดความสุข สิ่งที่ตามมาก็คือการแบ่งปันเรื่องราว ให้คนที่เรารัก ครอบครัว หรือเพื่อนได้รับรู้เรื่องราวนั้น และในโลกของอินเตอร์เน็ต การแบ่งปันคือการกดแชร์นั้นเอง การกดแชร์เลยสามารถสร้าง Brand Awareness ให้เกิดขึ้นได้ สินค้าที่มักใช้ได้ผลกับแคมเปญที่มีอารมณ์ความสุขคือ อาหาร เช่น MK, Coca-Cola, เบียร์และเครื่องดื่มต่างๆ เป็นต้น
2. ความโกรธ (Angry)
โฆษณาหรือคอนเทนต์ที่สามารถกระตุ้นความโกรธ จะทำให้คนตระหนักถึงปัญหาต่างๆ ที่ซุกซ้อนอยู่ใต้พรม ทำให้คนกล้าออกมาแชร์ประสบการณ์ร่วม ติดตาม แบ่งปันข้อมูลและพูดถึงกันอย่างมากมาย ซึ่งนำไปสู่การเป็นไวรัล
3. ความกลัว (Fear)
เมื่อความกลัวเป็นอารมณ์ที่รับมือยากที่สุดของชีวิตมนุษย์ การสร้างความกลัวจึงเป็นทริคหนึ่งที่สามารถกระตุ้นความรู้สึกของผู้บริโภคได้หลายทิศทาง เช่น การกลัวที่จะเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิด Brand Royalty หรือความกลัวที่จะเกิดสิ่งไม่ดีขึ้น ทำให้เราต้องปรับพฤติกรรมหรือจับจ่ายใช้สอยกับธุรกิจท่ีสามารถอุดช่องความกลัวนั้น ของผู้บริโภคได้ สินค้าที่มักใช้ได้ผลกับแคมเปญที่มีอารมณ์ความกลัวคือ ประกันชีวิต, รถยนต์ หรือแคมเปญเลิกบุหรี่ เป็นต้น
4. ความเศร้า (Sadness)
โฆษณาหลายๆ ตัว ไม่ได้อยากทำให้เรารู้สึกเศร้าและไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะทำให้เราร้องไห้ แต่เป้าหมายหลักของโฆษณาคือการทำให้เราได้ขบคิดบางอย่างในอีกแง่มุม ซึ่งความเศร้านี้นำไปสู่การแบ่งปัน หรือ Brand Giving ส่วนใหญ่อารมณ์ความเศร้านี้ จะถูกนำไปใช้ในแคมเปญเพื่อสังคม
ลองวิเคราะห์ตามบทความข้างต้น แล้วเลือกใช้อารมณ์ให้เหมาะสมกับแบรนด์ในการสื่อสารไปยังผู้บริโภค มันจะทำให้ยอดขายถูกเพิ่มขึ้นได้แทบจะทันที และสุดท้ายแล้วเรื่องราวทุกอย่างที่นำเสนอออกมา จะต้องสอดคล้องกับสินค้า บริการ รวมถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์อีกด้วย รับรองกินใจผู้บริโภคแน่นอน
สนใจทำโฆษณาหรือวิดีโอสามารถติดต่อเราได้ที่ Line Official: @peacecreative